Hardware Wallet คือ กระเป๋าเงินดิจิทัลประเภทหนึ่งที่ใช้อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์สำหรับเก็บรักษากุญแจส่วนตัว โดยผู้ใช้จะต้องเชื่อมต่ออุปกรณ์กับคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์อื่นๆ เมื่อต้องการใช้งาน Hardware Wallet มีความปลอดภัยสูง เนื่องจากกุญแจส่วนตัวถูกเก็บรักษาไว้ในอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ ซึ่งไม่สามารถเข้าถึงได้ทางอินเทอร์เน็ต จึงทำให้ยากต่อการแฮ็กหรือขโมย
ประวัติความเป็นมาของ Hardware Wallet
Hardware Wallet ถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกในปี 2555 โดย SatoshiLabs บริษัทสัญชาติเช็ก ภายใต้ชื่อ Trezor ซึ่งเป็น Hardware Wallet ประเภทแรกของโลก ต่อมาในปี 2557 Ledger บริษัทสัญชาติฝรั่งเศส ได้เปิดตัว Ledger Nano S ซึ่งเป็น Hardware Wallet ที่มีขนาดเล็ก และ พกพาสะดวกกว่า Trezor
นับตั้งแต่นั้นมา ก็มีการพัฒนา Hardware Wallet รุ่นใหม่ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยแต่ละรุ่นจะมีจุดเด่นที่แตกต่างกันไป เช่น รองรับสกุลเงินดิจิทัลได้หลากหลาย ใช้งานสะดวก รองรับการใช้งาน DeFi และ Dapp เป็นต้น
ประเภทของ Hardware Wallet
Hardware Wallet แบ่งออกเป็นประเภทหลักๆ ดังนี้
- Hardware Wallet แบบเชื่อมต่อผ่าน USB : เป็นประเภทที่พบได้ทั่วไป เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ผ่านพอร์ต USB
- Hardware Wallet แบบเชื่อมต่อผ่าน Bluetooth : เป็นประเภทที่ใหม่กว่า เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์อื่น ๆ ผ่าน Bluetooth
- Hardware Wallet แบบ Air-gapped : เป็นประเภทที่ปลอดภัยที่สุด ทำงานแบบออฟไลน์โดยสิ้นเชิง ไม่สามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตได้
ข้อดีของ Hard Wallet
- ความปลอดภัยสูง : กุญแจส่วนตัวถูกเก็บรักษาไว้ในอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ ซึ่งไม่สามารถเข้าถึงได้ทางอินเทอร์เน็ต จึงทำให้ยากต่อการแฮ็กหรือขโมย
- ความเป็นเจ้าของเต็มรูปแบบ : ผู้ใช้เป็นผู้ควบคุมกุญแจส่วนตัวทั้งหมด จึงมีความปลอดภัยสูงกว่าการฝากเงินสกุลดิจิทัลไว้กับผู้ให้บริการรายอื่น
- ความโปร่งใส : ผู้ใช้สามารถตรวจสอบธุรกรรมสกุลดิจิทัลได้ผ่านระบบบล็อกเชน
ข้อเสียของ Hardware Wallet
- ราคาแพง : Hardware Wallet มีราคาแพงกว่า Software Wallet
- ใช้งานไม่สะดวกเท่า Software Wallet : ต้องเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกครั้งที่ต้องการใช้งาน
เปรียบเทียบ Hardware Wallet แต่ละรุ่น
- Trezor Model T ผลิตโดย SatoshiLabs ราคา 1,499 บาท การเชื่อมต่อ USB รองรับสกุลเงินดิจิทัลกว่า 1,800 สกุลเงินดิจิทัล
รองรับการใช้งาน DeFi และ Dapp - Ledger Nano X ผลิตโดย Ledger ราคา 1,799 บาท การเชื่อมต่อ Bluetooth รองรับสกุลเงินดิจิทัลกว่า 1,500 สกุลเงินดิจิทัล
ใช้งานสะดวก - SafePal S1 ผลิตโดย SafePal ราคา 1,499 บาท การเชื่อมต่อ USB รองรับสกุลเงินดิจิทัลกว่า 1,000 สกุลเงินดิจิทัล ราคาถูก
ใช้งานไม่สะดวกเท่ารุ่นอื่นๆ และมีข้อจำกัดในการรองรับสกุลเงินดิจิทัลที่น้อยกว่ารุ่นอื่นๆ - CoolWallet S ผลิตโดย CoolBitX ราคา 1,499 บาท การเชื่อมต่อ Bluetooth รองรับสกุลเงินดิจิทัลกว่า 1,000 สกุลเงินดิจิทัล
ขนาดเล็ก และ พกพาสะดวก แต่มีข้อจำกัดในการรองรับสกุลเงินดิจิทัลที่น้อยกว่ารุ่นอื่นๆ - ColdCard ผลิตโดย Coldcard ราคา 2,999 บาท การเชื่อมต่อ USB รองรับสกุลเงินดิจิทัลกว่า 1,000 สกุลเงินดิจิทัล
ปลอดภัยที่สุด แต่มีราคาค่อนข้างแพง และ ใช้งานไม่สะดวกเท่ารุ่นอื่นๆ
สรุป
Hardware Wallet เป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยสำหรับเก็บรักษาสกุลเงินดิจิทัล อย่างไรก็ตาม Hardware Wallet มีราคาแพงกว่า Software Wallet และ ใช้งานไม่สะดวกเท่า Software Wallet ผู้ใช้จึงควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ ดังนี้ เพื่อเลือก Hardware Wallet ที่เหมาะสมกับความต้องการและการใช้งานของตนเอง ได้แก่
- ความปลอดภัย : หากผู้ใช้ต้องการความปลอดภัยสูงสุด ควรเลือก Hard Wallet รุ่นที่มีความปลอดภัยสูง เช่น Trezor Model T หรือ ColdCard
- ความสะดวกในการใช้งาน : หากผู้ใช้ต้องการความสะดวกในการใช้งาน ควรเลือก Hard Wallet รุ่นที่ใช้งานสะดวก เช่น Ledger Nano X หรือ SafePal S1
- ราคา : Hard Wallet มีราคาแพงกว่า Software Wallet ผู้ใช้จึงควรพิจารณางบประมาณของตนก่อนตัดสินใจซื้อ
- ความต้องการในการใช้งาน : หากผู้ใช้ต้องการเก็บสกุลเงินดิจิทัลในระยะยาว ควรเลือก Hard Wallet รุ่นที่รองรับสกุลเงินดิจิทัลได้หลากหลาย
หากคุณชอบโพสต์นี้ และต้องการแสดงคำขอบคุณ เพียงสแกนโค้ด QR ด้านล่างหรือคัดลอกและวาง LNURL ลงในแอป Lightning wallet ของคุณ (ผมขอแนะนำ Wallet of Satoshi)
![](https://i0.wp.com/store.microtronic.biz/wp-content/uploads/2023/09/DonationToKonPhanTang.png?resize=980%2C526&ssl=1)
หมายเหตุ : บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาและพัฒนาเท่านั้น ไม่ควรถือเป็นคำแนะนำทางการเงินในทุกกรณี